วัชรพงษ์ฟาร์ม ชุมแพ ฟาร์มไก่ประดู่หางดำที่ใช้วิทยาศาสตร์ยกระดับไก่บ้านเป็น Super Chicken

วัชรพงษ์ฟาร์ม ไก่ประดู่หางดำในชุมแพ ขอนแก่น ที่คืนสัญชาตญาณให้ไก่ และใช้วิทยาศาสตร์ยกระดับไก่บ้านเป็น Super Chicken
เรื่อง สิทธิโชค ศรีโชภาพ กานต์ ตำสำสู
“สัญชาตญาณ กับ ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สัมพันธ์กันอย่างไร ขอยกตัวอย่างเช่น นกอพยพเพราะไม่อยากสูญพันธุ์ และเวลาอพยพต้องบินข้ามทวีป แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นตะคริว นี่คือจุดเริ่มต้นที่หนูสงสัย”
“ผมเลยช่วยหาคำตอบให้ว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดส่งผลให้นกวิวัฒนาการด้วยการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระมหาศาลขึ้นมาในกล้ามเนื้อ เพื่อปรับสมดุลกรดแลคติกในกล้ามเนื้อที่จะเกิดขึ้นขณะที่ขยับปีกต่อเนื่องนาน ๆ นกจึงไม่เป็นตะคริว การวิวัฒนาการนี้ส่งผลมายัง DNA ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงไก่บ้านด้วย”

กระติ๋ม-ดร.สุกัญญา เจริญศิลป์ และ บาส-วัชรพงษ์ เตียวยืนยง เจ้าของ ‘วัชรพงษ์ฟาร์ม’ เล่าถึงการค้นพบสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาไก่บ้านประดู่หางดำให้กลายเป็น Super Chicken อย่างเป็นระบบ มีผลงานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ เพราะพวกเขาต้องการสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับผู้บริโภครู้ว่าโปรตีนชั้นเลิศไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเรา แต่ซ่อนอยู่ในไก่พื้นบ้านนี่เอง
นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการให้วัชรพงษ์ฟาร์มเป็นพื้นที่ต้นแบบฟาร์มไก่พื้นเมืองที่ฉีกแนวทางด้วยการคืนสัญชาตญาณให้ไก่ ทั้งยังเป็นมิตรต่อทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องและสิ่งแวดล้อม เพราะหากทำสำเร็จ จะนำไปสู่เป้าหมายเบื้องลึกที่แท้จริงของพวกเขา นั่นคือการกอบกู้ศักดิ์ศรีของเกษตรกรไทยและไก่พื้นบ้านไทยให้กลับคืนมา
ลูกสาวชาวนา ลูกชายร้านขายอุปกรณ์ประมง สู่เจ้าของฟาร์ม Super Chicken
15 นาทีจากตัวเมืองอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น คือที่ตั้งของ วัชรพงษ์ฟาร์ม Super Natural Wellness พอขับรถเข้าสู่ด้านในก็ได้ยินเสียงไก่ประดู่หางดำขันต้อนรับเราอย่างก้องกังวาน การจะมาเยือนฟาร์มแห่งนี้ได้ต้องนัดหมายล่วงหน้า เนื่องด้วยเป็นฟาร์มเลี้ยงไก่บ้านด้วยระบบธรรมชาติทั้งหมด ไม่ใช้สารเคมีหรือยาปฏิชีวนะ จึงต้องเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างถิ่นเข้ามา
ดร.กระติ๋ม และ บาส รอเราอยู่ตรงพื้นที่จัดกิจกรรม พวกเขาพาเราเดินชมแปลงทดลองเป็นจุดแรก ในแปลงมีโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาดย่อมสร้างจากไม้ไผ่ เพื่อเก็บข้อมูลนำไปสู่การพัฒนาต่อยอด โดยมีทั้งไก่บ้านประดู่หางดำ ขนสีดำเงาวับ และไก่โปแลนด์ที่มีขนปรกหน้า เดินวนเวียนคุ้ยเขี่ยดิน จิกกินอาหารอยู่ใกล้ ๆ
“เรารู้ว่าปัญหาของเกษตรกรคือเรื่องต้นทุน จึงทดลองร่วมกับ ฟิวส์-วานิชย์ วันทวี แห่ง ว. ทวีฟาร์ม ออกแบบนวัตกรรมที่ลงทุนน้อย ใช้ไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุท้องถิ่น หากสำเร็จก็จะนำไปพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น และส่งต่อให้เกษตรกรนำไปใช้ได้” ดร.กระติ๋มบอก

ดร.กระติ๋มเล่าย้อนถึงชีวิตวัยเด็กให้ฟังว่า เธอพยายามถีบตัวเองจากครอบครัวเกษตรกรเพื่อจะได้ไม่ต้องลำบาก และเป้าหมายการเรียน ณ เวลานั้นก็เพียงเพื่อเป็นอาจารย์ โดยไม่เคยคาดคิดว่าไก่พื้นบ้านจะทำให้เธอเปลี่ยนความคิด
บาสซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เดินไปอุ้มไก่ประดู่หางดำตัวโตมาให้เราดู พร้อมเล่าว่า “นี่เป็นไก่ประดู่หางดำ อายุ 4 ปีครับ เป็นไก่รุ่นแรกที่เราเลี้ยงเพื่อเรียนรู้และสังเกตพฤติกรรม เรามองว่าเขาเป็นอาจารย์คนหนึ่ง”
ครอบครัวของบาสค้าขายอุปกรณ์สำหรับทำประมง ด้วยสมัยมัธยมบาสชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาชีววิทยา และสนใจเรื่องพันธุศาสตร์ พอมาเรียนเกษตรฯ จึงเข้าทาง
“ตอนเรียนเกษตรฯ ได้เรียนวิทยาศาสตร์เยอะ โดยเฉพาะวิชาชีววิทยา จึงเข้าทางเพราะผมชอบอยู่แล้ว”
การเข้าเรียนคณะเกษตรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกทำให้พวกเขาทั้ง 2 คนได้รับบทบาทเป็น TA (Teacher Assistant) ในคลาสเรียน การพบกันครั้งนั้นนำไปสู่จุดเริ่มต้นในการร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่เดินทางเรียนรู้หัวใจตนเองร่วมกัน เรียนรู้วิถีชีวิตความยากลำบาก และการถูกเอารัดเอาเปรียบของเกษตรกรไทยผู้เลี้ยงไก่ในไทย เรียนรู้ความงดงามของการอยู่ร่วมกันของผู้คนกับธรรมชาติ

“แรงบันดาลใจเกิดขึ้นตอนที่พวกหนูเป็นนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก เราได้ไปเป็นพี่เลี้ยงเกษตรกร ได้รับฟังสิ่งที่เกษตรกรนำมาแลกเปลี่ยนว่า สมัยนั้นการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงพาณิชย์ต้นทุนอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม แต่เวลาเกษตรกรไปขายเขาขายได้เต็มที่แค่ 60 – 90 บาท ข้อมูลนี้ทำให้หนูคิดโจทย์งานวิจัยตอนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกว่า จะทำเรื่องไก่พื้นเมือง ค้นหาหาเสน่ห์ของไก่พื้นเมืองจริง ๆ ให้เจอ และต้องเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงให้ได้ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับไก่พื้นเมืองและอยากผลักดันให้เกิดการค้าขายที่ยุติธรรมให้กับเกษตรกร”
ดร.กระติ๋มเปิดประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางความคิดของเธอ ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะนำเราเข้าชมบริเวณโรงเรือนเลี้ยงไก่ของพวกเขา เพื่อชมวิธีการผลิตไก่บ้านพื้นเมืองให้กลายเป็น Super Chicken
สารต้านอนุมูลอิสระ ความลับที่ซ่อนอยู่ในไก่ประดู่หางดำ
เมื่อก้าวสู่กรงเลี้ยงไก่ของวัชรพงษ์ฟาร์ม สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ กลิ่นมูลไก่ไม่แรงอย่างที่คิด พื้นกรงเลี้ยงแห้งไม่เฉอะแฉะ ที่สำคัญ ไม่มีแมลงวันแมลงหวี่มารบกวนแม้แต่น้อย แต่ละกรงเลี้ยงมีประตูที่เปิดเชื่อมต่อกับพื้นที่ด้านข้างซึ่งปล่อยให้หญ้าเติบโตตามธรรมชาติ อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งปอเทืองขนาดย่อม ๆ เพื่อเปิดให้ไก่ออกมาคุ้ยเขี่ยจิกกินอาหาร
ดร.กระติ๋มขอความร่วมมือว่าให้พวกเราเดินช้า ๆ อย่าให้ไก่ตื่น เพราะจะส่งผลกับแม่ไก่ที่กำลังให้ไข่ เพราะไก่ที่ฟาร์มนี้เลี้ยงแบบคืนสัญชาตญาณ ตื่นตกใจง่าย แต่ละก้าวจึงราวกับว่ากำลังเดินจงกรม
ดร.กระติ๋มเล่าถึงที่มาที่ไปของสายพันธุ์ไก่ประดู่หางดำให้เราฟังว่า

“กรมปศุสัตว์รวบรวมไก่บ้านหลากสายพันธุ์มาจากทั่วประเทศแล้วนำมาจำแนกเพื่อดูศักยภาพ ไก่ประดู่หางดำคือไก่บ้านที่พ่อแม่เราเลี้ยงตามหลังบ้าน แค่แยกสายออกมาว่าเป็นไก่ประดู่หางดำ แต่มันคือต้นพันธุ์เดียวกัน
“การพัฒนาไก่ประดู่หางดำของมหาวิทยาลัยขอนแก่นมุ่งเน้นให้นำไปเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้ จึงเกิดสโลแกนที่ว่า ‘โตดี ไข่ดก อกกว้าง’ ขึ้นมา มหาวิทยาลัยก็ต้องมุ่งพัฒนา ซึ่งผู้ดูแลคืออาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนปริญญาโทและปริญญาเอก หนูจึงได้ช่วยทำวิจัยจนเข้าใจเรื่องการคัดสรรสายพันธุ์ไก่ประดู่หางดำ”
บาสเล่าถึงประวัติศาสตร์ของไก่ชนิดนี้ให้เราฟังเพิ่มเติมว่า ไก่ประดู่หางดำเป็นกลุ่มไก่พื้นบ้านที่เป็นไก่ชน มีบันทึกอยู่ในพงศาวดารแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเหมือนไก่เหลืองหางขาวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้งที่จริง ๆ แล้วไก่ประดู่หางดำก็คือไก่ทรงเลี้ยงของสมเด็จพระเอกาทศรถหรือพระองค์ขาวนั่นเอง จบเรื่องประวัติศาสตร์ ดร.กระติ๋มจึงเล่าถึงการเจาะลึกในเชิงงานวิจัยให้ฟังต่อไปว่า


“หนูเรียนเฉพาะทางเกี่ยวกับการปรับปรุงพันธุ์ แต่ศึกษาคือเรื่องของ Functional Meat เพราะต้องการผลักดันไก่พื้นเมืองให้เป็นอาหารสุขภาพ สิ่งที่พบตอนเรียนปริญญาเอก คือเราทดลองหาสารต้านอนุมูลอิสระโดยใช้ไก่ประดู่หางดำเทียบกับไก่อีก 4 สายพันธุ์ ผลคือมีสารต้านอนุมูลอิสระมหาศาล มากกว่าไก่ชนิดอื่นเกือบ 3 เท่า
“พอรู้แบบนี้ เลยนำผลงานวิจัยไปต่อยอดที่ญี่ปุ่น ด้วยการสกัดโปรตีนสายสั้นในเนื้อไก่ประดู่หางดำ แล้วนำไปศึกษาที่ University of Tsukuba ซึ่งเป็นเทพด้านการทำอาหารสุขภาพ เป็น Functional Food โดยตรง เราอยากค้นหาความจริงด้วยการตรวจดูว่า โปรตีนของเนื้อไก่ประดู่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจริงไหม ตอบสนองจริงไหม คนกินตัวนี้เข้าไปแล้วเกิดผลไหม
“ผลการทดลองครั้งนั้น ทำให้เราได้คำตอบที่โคตรดีใจจนศาสตราจารย์ที่ญี่ปุ่นก็ยินดีกับเราด้วย เพราะที่นั่นเขาวิจัยเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระจากพืชเป็นหลัก พอเห็นผลที่ตรวจออกมาเขาบอกกับเราเลยว่า Your result is the best. เพราะเขาก็ไม่คิดว่าในไก่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมหาศาล

“ดังนั้น พอวันที่เราลุกขึ้นมาสร้างวัชรพงษ์ฟาร์ม หลายคนถามว่าจะพัฒนาพันธุ์ไปในทิศทางไหน พวกเราตอบไปแบบฉีกแนวเลยว่า เราต้องการให้ไก่พื้นเมืองเป็นตัวเขามากที่สุด ไม่อยากคัดให้ตัวโต ไม่อยากคัดให้ไข่ดก หรือทำอะไรไปมากกว่ากว่านี้แม้จะทำได้ เพราะอาจต้องแลกมากับการที่วันหนึ่งเราอาจจะไม่เหลือไก่พื้นเมืองของบ้านเราอีกต่อไป”
นับจากนั้น วัชรพงษ์ฟาร์มก็ปรับวิธีเลี้ยงไก่โดยเน้นคืนสัญชาตญาณให้ไก่ เฝ้าศึกษาพฤติกรรม จดบันทึก นำมาวิเคราะห์หาคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ไก่พื้นบ้านต้องการ และสิ่งนั้นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพไก่ ก่อนออกแบบการเลี้ยงและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงวัยให้สอดคล้องกับสัญชาตญาณของพวกมัน โดยทุกอย่างที่ทำมีคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์คอยกำกับอธิบาย ด้วยมุ่งหวังว่าการคืนสัญชาตญาณและศักดิ์ศรีในการใช้ชีวิตให้ไก่พื้นบ้านของไทยจะนำไปสู่การเป็นอาหารสุขภาพชั้นเลิศของมวลมนุษยชาติ
“ตอนนี้วัชรพงษ์ฟาร์มเตรียมข้อมูลทุกอย่างส่งวิเคราะห์อีกรอบ เพื่อหาสารสำคัญต่อสุขภาพในเนื้อไก่ที่เราเลี้ยงด้วยการคืนสัญชาตญาณให้ไก่ ซึ่งข้อมูลนี้กำลังเตรียมเป็นไฮไลต์ที่คาดว่าจะเปิดเผยได้ภายในปีนี้ ตลอด 4 ปีเราเห็นศักยภาพของไก่จากการสังเกตและเก็บข้อมูลทุกอย่าง หนูคิดว่าทุกอย่างจะออกมาได้ชัดเจนมาก” ดร.กระติ๋มบอกกับเราถึงแผนในอนาคตอันใกล้

ใช้วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญา ทำความเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้สัญชาตญาณ
ด้วยจุดแข็งของทั้ง 2 คนคือเป็นนักวิทยาศาสตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงออกแบบการเลี้ยงไก่โดยมีเหตุผลและคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์รองรับเสมอ ดร.กระติ๋มและบาสเล่าถึงข้อสงสัยที่นำไปสู่การออกแบบวิธีเลี้ยงไก่แบบเคารพธรรมชาติและคืนสัญชาตญาณให้ไก่พื้นเมืองให้ฟังว่า
“สัญชาตญาณ กับ ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสัมพันธ์กันอย่างไร ขอยกตัวอย่างเช่น นกอพยพเพราะไม่อยากสูญพันธุ์ และเวลาอพยพต้องบินข้ามทวีป แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นตะคริว นี่คือจุดเริ่มต้นที่หนูสงสัย”
บาสเสริมว่า “ผมเลยช่วยหาคำตอบให้ว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดส่งผลให้นกวิวัฒนาการด้วยการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระมหาศาลขึ้นมาในกล้ามเนื้อ เพื่อปรับสมดุลกรดแลคติกในกล้ามเนื้อที่จะเกิดขึ้นขณะที่ขยับปีกต่อเนื่องนาน ๆ นกจึงไม่เป็นตะคริว การวิวัฒนาการนี้ส่งผลมายัง DNA ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงไก่บ้านด้วย”

เล่าถึงตรงนี้ ดร.กระติ๋มถามต่อไปว่า “ฟังแบบนี้แล้วลองทายสิคะว่าส่วนไหนของเนื้อไก่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ใช่แล้วค่ะ ส่วนอกไก่ เพราะขยับตลอดเวลา พอศึกษาเรื่องการขยับของนก ก็เลยศึกษาไปถึงเรื่องของสัตว์ที่ว่ายน้ำ เช่น แซลมอน ซึ่งต้องว่ายทวนน้ำทนแดดทนร้อนเพื่อไปวางไข่”
บาสอธิบายเพิ่มเติมว่า “ในที่นี้หมายถึง Wild Salmon แท้ ๆ นะครับ อาหารที่แซลมอนเลือกกินคือกุ้งและปูตัวเล็ก ๆ เพราะว่าพวกมันกินสาหร่ายชนิดหนึ่งชื่อ Haematococcus pluvialis สาหร่ายตัวนี้เป็นสาหร่ายเซลล์เดียวเล็ก ๆ ที่คนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมในการเอาตัวรอด พอเปลี่ยนเป็นสีแดงปุ๊บเก่งขึ้นมาเลย ทนแดด ทนร้อน อยู่ในน้ำเน่าเสียได้ พอกุ้ง ปู ไปกินพวกมันก็เลยเปลี่ยนเป็นสีแดง แซลมอนไปกินกุ้งปูพวกนั้น แซลมอนก็เลยกลายเป็นสีแดง

“คำถามคือสีแดงยังไง สารสีแดงนี้มีวิจัยรองรับว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าวิตามินอี วิตามินซี 2,000 เท่า ซึ่งมีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่ากินแล้วช่วยชะลอวัย
“แล้วแซลมอนสะสมสารต้านอนุมูลอิสระไว้เพื่ออะไร ก็เพื่อเวลาว่ายทวนน้ำย้อนไปวางไข่ มันต้องมีสารนี้ไว้เพื่อรักษาสมดุลเพื่อให้อยู่รอดและขึ้นไปวางไข่สำเร็จ ทีนี้พอไปถึงปลายทางวางไข่แล้วมันก็หมดพลังและตายไปเลย เพราะใช้พลังทั้งหมดแล้ว
“มันเป็นทฤษฎีเดียวกับไก่บ้าน ไก่บ้านมีวงศ์ใกล้เคียงกับไก่ป่ามากกว่าไก่ทางการค้า ดังนั้น ความเป็นสัตว์ป่า สัญชาตญาณก็ยังจะสูงกว่า มันมีการเอาตัวรอดที่สูง ไก่บ้านจึงสะสมประโยชน์ทางเนื้อได้มากเป็นพิเศษ”
ที่เล่ามานี้คงทำให้ผู้อ่านได้เห็นแล้วว่าพวกเขาเจาะลึกกันขนาดไหนเพื่อหาคำตอบมาอธิบายแต่ละเรื่อง รวมไปถึงการสังเกตสัญชาตญาณของไก่ที่พบเห็นในฟาร์ม หรือจากคำแนะนำของแฟนเพจ ภูมิปัญญาของคนพื้นที่ พวกเขาก็พยายามหาคำตอบโดยใช้วิทยาศาสตร์มารองรับทั้งหมด
สมุนไพรพื้นถิ่นใกล้ฟาร์ม ช่วยสร้างความแข็งแรงให้ไก่พื้นเมือง
“ช่วงหนึ่งเราเอาไก่เบตงมาทดลองเลี้ยงแล้วปล่อยไก่ออกมาจิกกินหญ้าและถ่ายวิดีโอลงเพจ มีแฟนเพจคนหนึ่งทักมาว่า ไก่ฟาร์มนี้สุดยอด ได้กินลูกใต้ใบ เพราะเขาเห็นไก่กระโดดกินลูกใต้ใบ หนูก็หันไปถามบาสว่า ลูกใต้ใบคืออะไร บาสไปหาคำตอบว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน มีผลงานวิจัยรองรับว่า มีสารสำคัญที่ทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคและเพิ่มเซลล์ตับได้
“ด้วยความที่เป็นคนสมัยใหม่ เรารู้จักสมุนไพรแค่ฟ้าทะลายโจร ช่วงแรกที่ทำฟาร์มเราพยายามหาฟ้าทะลายโจรมาปลูกให้ไก่กิน แต่ปลูกยากมากและขยายพันธุ์ยาก พอรู้ว่าไก่กินลูกใต้ใบซึ่งเป็นสมุนไพรท้องถิ่น เราปรับเลยค่ะ ไม่ฝืนเอาฟ้าทะลายโจรมาปลูก แต่ปล่อยให้พืชท้องถิ่นเกิดและให้ไก่เลือกกินเอง”

บาสชี้ให้เราดูต้นปอเทืองที่ปลูกไว้ตรงแปลงใกล้กรงเลี้ยงไก่ และเล่าว่า “แต่เฉพาะปอเทืองที่พวกเราปลูกให้ไก่กิน โดยจุดเริ่มต้นคือผมจะปลูกไว้บำรุงดินเท่านั้น แต่พอปล่อยไก่ออกมา เราเห็นไก่ไปจิกกินต้นปอเทือง กระติ๋มก็เลยถามว่านอกจากเรื่องบำรุงดินแล้ว ปอเทืองดีต่อสุขภาพไก่ยังไง ผมก็ไปหาข้อมูลและพบว่าในต้นปอเทืองทุกส่วนมีสารชื่อ ‘แทนนิน’ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ไปหยุดกระบวนการเติบโตของแบคทีเรียไม่ดีได้ และที่สำคัญคือพอเข้าไปในลำไส้ไก่ สารนี้จะช่วยกำจัดวงจรการเติบโตของโปรโตซัวที่ทำให้เกิดโรคบิดได้ พอรู้แบบนี้เราจึงต้องให้ไก่ในระยะ 1 – 3 เดือนกินปอเทือง โดยเราจะไม่สับไม่ปรุงให้ แต่ปลูกและให้เขามาจิกกินเอง
“โรคบิดคือโรคท้าทายที่สุดของการเลี้ยงไก่ เพราะจะทำให้ไก่ถ่ายเป็นเลือดและตายทันที ไก่อายุ 1 – 3 เดือน เหมือนเขาเป็นเด็ก ลำไส้อ่อนแอ เราต้องช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปทำลาย”

ดร.กระติ๋มเสริมว่า “อีกอย่างที่เราค้นพบความจริงก็คือ ต้นทางของสารสีส้มหรือแคโรทีนอยด์ในไข่แดงเกิดจากพืชสีเขียว ดังนั้น เมื่อเรามีสมุนไพรพื้นบ้านที่ไก่เลือกจิกกิน มีปอเทืองช่วยลดวงจรการฟักตัวของโรคบิด เรารักษาสภาพวัสดุรองพื้นกรงเลี้ยงให้แห้งและสะอาด เพราะกรงเลี้ยงที่เปียกและชื้นเชื้อบิดจะเข้าไปฝังตัว ทำให้เกิดการระบาดได้ ก็ช่วยป้องกันต้นทางที่จะทำให้เกิดโรคบิดได้แล้ว และไก่ได้จิกกินต้นไม้ใบหญ้าอยู่แล้ว ยาเคมีพวกนั้นจึงไม่จำเป็น
“พอเราปรับมาเลี้ยงแบบนี้ พบว่าไก่เราแข็งแรงไม่เป็นบิดเลย เรายังใช้วิธีของธรรมชาติคัดสรรด้วย คือต้องเป็นเฉพาะไก่ที่แข็งแรงเท่านั้นจึงจะอยู่รอดและให้ลูกที่แข็งแรง ซึ่งอัตราการฟักไข่ของเราอยู่ที่ 75 – 80% ถือว่าสูงมาก เพราะฟาร์มปกติอยู่แค่ 65% และตอนนี้หนูกับพี่ฟิวส์ เจ้าของ ว. ทวีฟาร์ม กำลังร่วมมือกันพัฒนา Local Feed ที่เป็นอาหารสัตว์ปลอดภัย โดยใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์พื้นถิ่นที่หาได้ในอีสานเท่านั้นด้วย”
นอกจากนี้ เรื่องการคืนสัญชาตญาณให้กับไก่พื้นบ้านก็สอดคล้องกับการเจริญเติบโตและคุณภาพของเนื้อไก่
“เราไปถามผู้ใหญ่ในพื้นที่ว่า ไก่ป่าอาศัยอยู่ยังไง ทุกคนเล่าว่ามันนอนบนต้นไม้ พวกเราก็ไปหาดูจนเจอว่าไก่ในธรรมชาตินอนบนต้นไม้จริง ๆ ส่วนเหตุผลเราก็มีการแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในเพจ ได้คำตอบหลากหลาย แต่ออกมาในโทนเดียวกัน คือเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด พอได้คำตอบนี้เราก็ทดลองคืนคอนให้ทุกกรงไก่เลยค่ะ ให้ไก่ได้เกาะนอนบนคอน และที่สำคัญ ปิดไฟตอนกลางคืนด้วย ให้ไก่เติบโตตามค่าแสงตะวันจริง ๆ
“ช่วงแรกที่เลี้ยงไก่ เราเปิดไฟให้ไก่เพราะอยากให้มันกินอาหารเยอะ ๆ แต่พอต้องการเลี้ยงไก่ให้เป็น Super Chicken เราปิดไฟให้ไก่นอน เพราะมาคิดว่าไก่เหมือนคน ถ้าคนได้นอนหลับลึกไม่มีแสงรบกวนเวลานอน การหลั่ง Growth Hormone ที่ช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์จะทำได้ดีกว่า พอทดลองทำก็พบว่าการปิดไฟให้ไก่นอนทำให้โตดีมาก ๆ ซึ่งสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของเรา
ปลูกต้นไม้ใหญ่มีกลิ่นหอม เพื่ออายุวัฒนะของไก่และผู้เลี้ยง
ถัดจากเรื่องอาหาร การออกแบบการเลี้ยงที่เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณไก่แล้ว อีกเรื่องที่พวกเขาทำก็คือการสร้างพื้นที่ธรรมชาติด้วยการปลูกต้นไม้ที่ให้ร่มเงาในพื้นที่ฟาร์ม มีเหตุผลสำคัญซ่อนอยู่ บาสอธิบายว่า
“เหตุผลที่ทำไมต้องมีไม้ยืนต้นในฟาร์ม ตอนนี้เราศึกษาไปว่าการจะปกป้องฟาร์มจากโรค เราต้องปกป้อง 2 ทาง อย่างแรก ปกป้องภาคพื้นดิน ปกติคนที่จะเข้ามาในฟาร์ม ต้องให้เขาเปลี่ยนรองเท้า รถที่เข้ามาจะต้องฉีดพ่นล้อ อีกวิธี คือการใช้จุลินทรีย์ดีที่เป็นจุลินทรีย์พื้นถิ่นเข้าปกป้องจุลินทรีย์ที่ไม่ดี เราก็เลยมีการดูแลเรื่องจุลินทรีย์ด้วยครับ และอีกส่วนสำคัญคือการปกป้องอากาศ
“พอเกิดคำถามเรื่องการปกป้องอากาศให้ไก่ในฟาร์ม ผมเลยไปศึกษาว่าต้นไม้ในตระกูลไม้ยืนต้นจะปลดปล่อยละอองน้ำมันออกมาเพื่อไล่แมลงกำจัดเชื้อโรคในอากาศอยู่แล้ว ซึ่งไม้ที่มียาง ไม้ที่เราขยี้ดมแล้วมีกลิ่นหอม เกิดจากละอองน้ำมันที่ต้นไม้สกัดน้ำมันออกมา และในพืชตระกูลสนมีมากที่สุด โดยมีสารไฟโตเคมิคอลที่ชื่อว่า Pinene ทั้งชนิดเบต้าและอัลฟ่า เมื่อปล่อยละอองน้ำมันออกมาในอากาศ ต้นไม้น่าจะต้องการป้องกันแมลงและทำลายจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีในอากาศ แต่ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นก็คือพอสิ่งมีชีวิตสูดดมละอองน้ำมันเข้าไป มันจะไปเพิ่มภูมิคุ้มกันให้มากขึ้น จึงเป็นทฤษฎีที่เชื่อมโยงต่อไปในเรื่องของการ ‘อาบป่า’ ถ้าเข้าไปในป่า 1 ชั่วโมง เราก็จะได้รับการเพิ่มภูมิคุ้มกันจากต้นไม้ใหญ่ และตอบได้ว่าเรามีไม้ยืนต้นไว้เพื่ออะไร คำตอบก็คือเพื่อปกป้องเชื้อโรคทางภาคอากาศทั้งหมด และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สัตว์เลี้ยงด้วย”

นอกจากนี้ การมีธรรมชาติยังทำให้ ดร.กระติ๋ม ผู้ไม่อินกับธรรมชาติมาก่อน เริ่มรักธรรมชาติมากขึ้น
“หนูบอกกับบาสเสมอว่า เราเรียนมาทั้งชีวิตเพื่อตั้งใจใช้ชีวิตในตึก จะเอาเวลาไหนไปอยู่กับธรรมชาติ หนูรู้สึกว่ามันไกลตัว แต่พอมาถึงตรงนี้ หนูอยากสร้างต้นไม้ สร้างป่า สร้างเส้นทางอายุวัฒนะ สิ่งที่บาสศึกษาทำให้หนูมองการต่อยอดวัชรพงษ์ฟาร์มว่า ต่อไปเราจะสร้างธรรมชาติในฟาร์มให้เป็นอายุวัฒนะ เพื่อให้ต้นไม้ปล่อยละอองน้ำมันออกมา เพราะหนูอยากให้พ่อแม่มาเดินในฟาร์ม
“บาสทำให้หนูเดินไปไกลกว่าเดิมในมุมของธรรมชาติ จนตอนนี้เข้าใจเลยว่าทั้งระบบนิเวศกำลังสร้างเกราะป้องกัน ซึ่งหนูนิยามว่าเป็น Natural Biosecurity เลยค่ะ ทุกองค์ประกอบของพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น จุลินทรีย์ ทุกสิ่งอย่างจะให้เหลือแต่ตัวดี ๆ เพื่อปกป้องธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ นี่คือเป้าหมายของการสร้างธรรมชาติขึ้นมา”
นวัตกรรมที่ออกแบบอย่างมีชีวิต เพื่อให้ทุกชีวิตในฟาร์มมีความสุข
ไก่บ้านคือแพสชันของเจ้าของฟาร์มทั้ง 2 คน ทุกครั้งที่ทั้ง ดร.กระติ๋มและบาสเข้าฟาร์ม พวกเขาจึงมีความสุข ที่สำคัญ พวกเขายังคำนึงถึงความสุขของไก่และคนงาน รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้อีกด้วย
ฟาร์มที่สะอาด กลิ่นมูลไก่มีน้อยมาก ไม่มีแมลงวัน-แมลงหวี่ มีต้นไม้และพื้นที่สีเขียว และมีห้องทำงานที่มีกระจก 360 องศา เพื่อให้มองเห็นทุกอย่างรอบฟาร์ม ได้เห็นพฤติกรรมของไก่ บางจุดมีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อสังเกตสัญชาตญาณของมันเพื่อนำมาวิเคราะห์หาคำตอบและนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรม ซึ่งแนวทางนี้รวมไปถึงนวัตกรรมที่ช่วยให้การทำงานของทุกคนในฟาร์มง่ายและสบายขึ้นด้วย

“ตอนเรียน กรงไก่เป็นส่วนที่เราไม่อยากเข้าไปเท่าไหร่ เพราะมักมีกองมูลไก่สูงเป็นภูเขา และเป็นกำแพงปิดกั้นการเรียนรู้ หนูคุยกับบาสว่า ถ้าเราทำฟาร์ม ฟาร์มเราจะต้องเป็นแรงบันดาลใจชวนให้รู้สึกอยากทำงาน ต้องทำให้เราอยากเข้าฟาร์มทุกวัน เลยเลือกจัดการที่ต้นทาง คือหมั่นทำความสะอาดกรง วัสดุรองกรงต้องแห้งเสมอ เพราะถ้าเปียกชื้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อโรค แมลงวัน และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในฟาร์ม ซึ่งพอทดลองทำก็ช่วยได้จริง ๆ
“ปีแรกที่เริ่มทำฟาร์ม เราทำงานกันเองเลยนะ ไม่ได้จ้างคนงาน เพื่อจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง หนูเดินตามบาสเลยว่าแต่ละวันเขาทำงานอะไร ใช้รูปแบบการทำงานอย่างไร และมานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้เหนื่อยน้อยลง ซึ่งนวัตกรรมเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ อย่างเช่นเมื่อก่อนบาสใช้เวลา 6 ชั่วโมงในการดูแลสุขภาพไก่ 500 ตัว แต่พอมีนวัตกรรมเช่นระบบการให้น้ำ การให้อาหารที่สอดคล้องกับสัญชาตญาณเข้ามา ทำให้วันนี้ที่เรามีไก่ 5,000 ตัว แต่ใช้ดูแล ให้อาหาร ให้น้ำ แค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น


“นอกจากนี้ยังมีการออกแบบกรงฟักไข่ที่ใช้วัสดุเลียนแบบธรรมชาติให้ไก่ขึ้นไปไข่ และไข่ไก่จะตกลงที่จุดรองรับด้านหลังกรง รวมไปถึงโรงอนุบาลลูกไก่เริ่มคลอดที่ยกพื้นสูงขึ้น เพราะเมื่อก่อนคนงานต้องก้ม ๆ เงย ๆ จนปวดหลัง เราต้องออกแบบนวัตกรรมที่เอื้อให้คนงานมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นด้วย
“ทุกวันนี้คนงานของเราทั้ง ตาดม กับ พี่ฐา ใช้เวลาดูแลไก่ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ต่อวัน เวลาที่เหลือเขาก็เลือกที่จะทำความสะอาดกรงหรือช่วยสังเกตพฤติกรรมไก่แล้วนำมาแลกเปลี่ยน หนูชอบเวลาที่เห็นตาดมลุกขึ้นมาสนุกกับการแต่งตัวแล้วมาทำงานหรือมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเรา ตรงนี้สะท้อนบางอย่างนะ เพราะถ้าเหนื่อย ๆ ตาดมคงไม่มีอารมณ์อยากเรียนรู้อะไรแล้ว นี่คือข้อดีของนวัตกรรมที่เราออกแบบ ซึ่งไม่ได้ต้องการนวัตกรรมที่ไฮเทค แต่เราอยากให้นวัตกรรมนั้นใช้ได้จริง มีจิตวิญญาณ ตอบโจทย์ความสุขของทั้งคนและไก่ทุกคน”
ความใจดีของโรงเชือดมาตรฐานระดับส่งออก
เมื่อมีไก่บ้านที่เลี้ยงมาอย่างดีขนาดนี้ คำถามต่อไปคือ แล้วในเรื่องของการชำแหละ พวกเขาจัดการอย่างไรให้ยังคุมคุณภาพระดับมาตรฐานเอาไว้ได้ พอถามถึงประเด็นนี้ ดร.กระติ๋ม บอกกับเราด้วยรอยยิ้มว่า ต้องของคุณโรงเชือดที่เขารับเชือดไก่และบรรจุไก่ให้กับทางฟาร์ม ทั้งที่ฟาร์มนั้นก็ไม่เคยทำงานในระบบที่พวกเขาต้องการมาก่อน
“ตอนนั้นทำฟาร์มได้ 3 ปี แต่เราเพิ่งขายได้แค่ปีเดียวเองนะคะ คือ 2 ปีแรกหนูกับบาสไม่ขายไก่เลย เราอยากพัฒนา หนูเอาเส้นทางการเลี้ยงไก่มากางเลยว่าต้องแก้ตรงไหนบ้างเพื่อให้ได้ไก่ที่ดีที่สุดก่อนที่จะถือไปให้ผู้บริโภค ทำให้ 2 ปีแรกเราขลุกอยู่กับไก่ เรียนรู้ว่าต้องทำอะไร มันยังมีตรงไหน ภาพของคนที่มองไก่พื้นเมืองมันติดตรงไหน การแปรรูปมันติดตรงไหน
“สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ คือกลุ่มผู้บริโภคที่จะมากินไก่มีหลายกลุ่ม ส่วนใหญ่เขามองเรื่องความสะอาดในการแปรรูป หนูเลยไปสร้างความร่วมมือสร้างมาตรฐานกับโรงเชือดที่จังหวัดมหาสารคาม ทั้งที่โรงเชือดเขารับเชือดไก่เป็นสเกลหมื่นตัว แต่ของเราเป็นสเกลหลักร้อย แต่พี่เขาให้เราเอาไก่เข้า


“วันแรกที่เราไปนำเสนอ ไม่รู้มาก่อนว่าเลยเขาเป็นโรงเชือดใหญ่ มีคนงาน 300 คน มาตรฐานระดับส่งออก ที่เราให้ความสำคัญกับโรงเชือดก็เพราะปกติโรงเชือดใกล้ ๆ พื้นที่เราก็มี แต่ที่ต้องเป็นโรงเชือดนี้เพราะเราอยากเข้าใจว่าการที่เราเดินไปถึงจุดนั้น ผู้บริโภคจะมองเรากลับมาอย่างไร
“ในวันที่เราไปเสนอ พี่วัตร เจ้าของโรงเชือด พอได้เห็นสเกลของโรงงานก็คิดในใจว่าเขาคงไม่รับแน่ แต่พอเรานำเสนอเสร็จ พี่เขาบอกว่า เอาไก่เข้ามาเลย 500 ตัว พวกหนูดีใจน้ำตาจะไหล
“หลังจากที่เอาไก่ล็อตแรกเข้าไป หนูไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาไม่เคยทำระบบแพ็กสุญญากาศ คิดว่าเขาทำระบบนี้อยู่แล้ว เพราะพวกหนูต้องให้ทำแพ็กเกจซีลรายตัว พี่วัตรก็บอกเราว่าให้เอาเครืองซีลมานะ เครื่องซีลพี่พัง แกไม่บอกเรานะว่าแกไม่เคยทำให้ใคร

“พอหนูไปถึงจึงรู้ เพราะเราต้องไปฝึกทีมงานของโรงเชือดของพี่เขา เขาเลยเฉลยว่าเขายังไม่เคยทำแบบนี้ เพราะเจ้าอื่นแค่เชือดใส่ถุงใหญ่ 10 ตัว มัดถุงแล้วส่งไปเลย แต่นี่คือซีลรายตัว ใส่ถุงสุญญากาศรายตัว 500 ตัวพี่เขาใช้เวลาทำงานของเรา 6 ชั่วโมง แต่ของเจ้าอื่นหลักหมื่นตัวเขาใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง หนูรู้สึกผิดมาก นั่งถามตัวเองว่าเขาเสียเวลากับเราทำไม มันเลยทำให้ได้พลังและเราจะทำให้ดีที่สุด เพราะทำให้เราเข้าใจคำว่า ‘คุณภาพ’ มากขึ้น จนวันนี้เราสร้างความร่วมมือกับชุมชนของเราและพัฒนาร่วมกันจนสำเร็จ”
ไก่บ้านนำทางให้มาพบกัน ค้นหาตัวตนผ่านการเข้าร่วมโครงการพอแล้วดี
เราเดินชมวัชรพงษ์ฟาร์มจนกระทั่งกลับมาที่จุดเริ่มต้น นั่นคือพื้นที่กิจกรรม ซึ่งเป็นทั้งที่จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ ใช้รับรองแขก พื้นที่จัดเก็บผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สด ไก่แปรรูปต่าง ๆ และโซนเล็ก ๆ สำหรับทำ Chef’s Table แบบ Farm to Table
ดร.กระติ๋มจัดกิ่งสนหอมใส่แจกันวางไว้ที่โซน Chef’s Table เพื่อต้อนรับทีมงานก่อนจะเสิร์ฟอาหารแสนอร่อยจากไก่ประดู่หางดำ Super Chicken ของฟาร์มหลากหลายรายการ ตั้งแต่สมูตตี้อะโวคาโดใส่ไข่แดง Super Egg และน้ำมะพร้าวน้ำหอมอินทรีย์ ไก่บ้านออนเซ็นฝีมือการต้มของบาสที่ต้องผ่านการไบรน์ข้ามคืนกับน้ำผสมเกลือและสมุนไพร ก่อนนำมาต้มตามวิธีที่ได้เรียนรู้มากจากอาม่าซึ่งเป็นลูกค้าไก่ต้มของพวกเขา ผู้ยินดีมอบภูมิปัญญาการต้มไก่แบบจีนโบราณให้

ตามติดด้วยไข่ไก่ประดู่หางดำ Super Egg ต้มยางมะตูมโรยพริกไทยจากตรัง ถัดมาเป็นข้าวสวยเคียงพะโล้ไก่บ้านแสงตะวัน หรือไก่ประดู่หางดำที่เลี้ยงนานกว่า 3 ปี คนอีสานเรียกว่าไก่เหนียว สุดยอดเนื้อไก่ที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารธรรมชาติ เช่นเดียวกับเมนูลาบไก่ที่ใช้ไก่บ้านแสงตะวันเช่นกัน พร้อมผักมากมาย ปิดท้ายด้วยขนมจีนน้ำยาไก่และไอศกรีมเสาวรสที่ทำเลียนแบบฟอร์มของไข่ไก่ดูน่ารัก
ระหว่างมื้ออาหาร ดร.กระติ๋มและบาสเล่าอีกหลากหลายเรื่องราวความประทับใจและพลังบวกที่ไก่พื้นบ้านนำทางพวกเขาให้เข้าไปสัมผัส เช่น คิดไม่ถึงว่าการเลี้ยงไก่จะนำไปสู่การเชื่อมโยงกับผู้คนมากมาย ทั้งกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มคุณตาที่ทำงานจักสาน ช่างตีมีดในพื้นที่ที่ช่วยออกแบบมีดให้ฟาร์มได้ใช้ Butcher ไก่ พี่วัตรจากโรงเชือดที่มหาสารคามซึ่งรับทำไก่ให้ และหนึ่งในนั้นซึ่งสำคัญมากก็คือการได้เข้าร่วมในโครงการพอแล้วดี เพื่อค้นหาจุดแข็งที่แท้จริง และสร้างแบรนดิ้งให้กับพวกเขา ดร.กระติ๋มเล่าถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า



“จริง ๆ ต้องขอบคุณ พี่หนุ่ย-ดร.ศิริกุล เลากัยกุล เจ้าของโครงการพอแล้วดีมากเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ใช่เพราะโครงการนี้ เราจะไม่มีทางมานั่งคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของหัวใจ และคงไม่ได้คิดย้อนกลับไปว่าตัวตนที่แท้จริงของเด็กหญิงกระติ๋ม-เด็กชายบาส คืออะไร
“หลังจากพวกหนูได้เข้าโครงการพอแล้วดี แล้วได้ขึ้นหน้าห้องเล่าให้ทุกคนในโครงการฟังถึงสิ่งที่ทำ มันเหมือนเป็นการทบทวนความต้องการที่แท้จริงของพวกเราอีกครั้งว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่เราทำก็เพราะอยากเห็นคำว่าคุณธรรมเกิดขึ้นในวงการเกษตร ในตอนแรกที่เราคิดว่าจะเป็นต้นแบบให้เกษตรกรมีพลังแค่ระดับหนึ่ง แต่พอรู้ว่าเราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณธรรมให้กับระบบเกษตรผ่านไก่พื้นเมืองของเราได้ มันมีพลังมหาศาลกว่าเดิมค่ะ
“พอเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่หนุ่ยฟัง เราเลยรีแบรนด์มาเป็นตัวนี้ ในโลโก้มีภาพหนูกับบาส บนหัวหนูมีไก่ที่ใส่หมวกปริญญา เป็นตัวแทนคำว่า Super Chicken ซึ่งเป็นอาจารย์ของเรา ปีกไก่เป็นรูปใบไม้เพื่อสะท้อนคำว่า Fair to Nature พี่หนุ่ยเคาะคำสั้น ๆ ออกมาว่า พี่ขอสั้น ๆ ว่าเราต้องการเป็นเกราะป้องกันให้กับเกษตรกรนั้นคือคำว่าอะไร บาสเลยเคาะว่า ‘Fairness’
“พอพี่หนุ่ยฟังคำนี้จากคำบอกเล่าของหนูกับบาส แกเคาะคำออกมาเลยว่า ที่เราทำอยู่มันโคตรแฟร์ เลยเกิดเป็น 4 Fair คือ Fair to Chicken, Fair to Innovation คือที่ได้เห็นว่าทำไมพวกเราถึงพยายามพัฒนานวัตกรรมให้มีจิตวิญญาณร่วมด้วยและใช้ได้จริง ต่อมาคือ Fair to Nature ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ รวมไปถึง Fair to Customer คือเราอยากส่งมอบสิ่งดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ในฐานะผู้เลี้ยง เราอยากคืนกำไรให้กับผู้บริโภคมากที่สุด คุ้มค่ากับราคาที่เขาจ่ายมากที่สุด นี่คืออัตลักษณ์ทั้งหมดของเรา
“ที่ผ่านมาเราไม่รู้จักคำว่า ‘แบรนดิ้ง’ จนมาเข้าโครงการพอแล้วดี หนูยังคิดอยู่เลยว่าโชคดีมาก สุดท้ายคำว่าแบรนดิ้งก็คือตัวเรานี่แหละ แล้วสะท้อนตัวตนของเราออกมา ผ่านไก่พื้นเมือง ผ่านผลิตภัณฑ์ ผ่านทุกอย่างที่เป็นเรา และกลายเป็นอาวุธทางความคิดของเรา”
เรารวบช้อนส้อมหลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารจากไก่บ้าน Super Chicken ของวัชรพงษ์ฟาร์ม เนื้อไก่ ไข่ไก่ อร่อย มีรสชาติเหมือนไก่บ้านที่ยายกับตาทำให้กินตอนเป็นเด็ก นอกจากความอร่อยแล้ว ข้อมูลต่าง ๆ ในเชิงสุขภาพที่ชัดเจน ความจริงใจ และความตั้งใจจริงที่สะท้อนผ่านแววตา น้ำเสียง และเรื่องเล่าของเจ้าของฟาร์มทั้งสอง ทำให้อาหารทุกคำมีคุณค่าทางจิตใจมากยิ่งขึ้นทวีคูณ และอยากส่งต่อสิ่งนี้ให้กับคนที่รัก เราจึงไม่พลาดที่จะอุดหนุนไก่บ้านออนเซ็นที่แพ็กสุญญากาศเรียบร้อยกลับบ้านไปฝากคนที่บ้าน
บาสหยิบถุงใส่ไก่ออนเซ็นส่งให้ และกล่าวปิดท้ายบทสนทนาว่า

“หลายคนที่กินไก่บ้านหรือไข่ของฟาร์มเราจะบอกว่า ทำให้คิดถึงพ่อ คิดถึงไก่บ้านและไข่ไก่ที่เคยกินตอนเป็นเด็ก พวกผมจึงตระหนักว่านอกจากคุณค่าในเชิงสารอาหารมากมายที่เราพยายามสร้างให้เป็น ‘Super Chicken – Super Egg – Super Nutrition’ แล้ว คุณค่าสำคัญอีกอย่างของสินค้าเรา คือความเป็นรสชาติแห่งความคิดถึง รสชาติแห่งความทรงจำ หรือ Nostalgia ที่เชื่อมโยงผู้คนให้หวนระลึกถึงความสุขบนโต๊ะอาหารกับครอบครัว นั่นแหละคืออีกมุมที่ทำให้เราทีมงานวัชรพงษ์ฟาร์มฟังแล้วปลื้มใจและมีความสุข”
ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคนี้ เหมือนคำตอบว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งใจทำนั้นสำเร็จและไม่ได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน
ติดตามความเคลื่อนไหวและอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ประดู่หางดำ Super Chicken ได้ที่ Facebook : วัชรพงษ์ฟาร์ม Super Natural Wellness